ความรู้เป็นสิ่งที่ชวนให้ค้นหา ศึกษาและติดตามอย่างไม่รู้จบ ความคิดที่ปราศจากอคติและความลำเอียงคือสิ่งที่ตกผลึกจากการค้นหา ศึกษาและติดตามจากความรู้ แล้วนำมาถ่ายทอดบอกเล่าต่อผ่านการสื่อสาร

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รัก..(นั้น)...เป็น...อะไร ?

รัก.....แท้.......................เป็น.....ตำนาน
รัก.....สิ้นลมปราณ......เป็น.....บทประพันธ์
รัก.....ไม่แปรผัน.........เป็น.....นิยาย
รัก.....จนวันตาย..........เป็น.....นิทาน
รัก.....ตลอดกาล..........เป็น.....ละคร
รัก.....อยู่ทุกตอน.........เป็น.....ละครน้ำเน่า
รัก.....ไม่เคยเก่า...........เป็น.....จริงช่วงแรก 

เคยรักใครแบบนี้บ้างไหม ?

มีนกนางแอ่นสายพันธ์หนึ่ง เกิดมามีคู่เดียวรักเดียว ใจเดียว ในรูปคู่ของมันโดนรถชนตาย
ตัวผู้เลยเข้าไปดูตัวเมีย...แล้วร่ำร้องตะโกนเรียกคู่ของมัน
แต่ตัวเมียได้ตายเสียแล้ว
ตามธรรมชาตินกพันธุ์นี้จะไม่ยอมมีคู่อีก และมันจะเป็นเช่นนี้ทุกคู่ไป

 และ...ผลสุดท้ายของความรักของนกคู่นี้คือ

ปลูกอะไรดี ?

เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์                                          คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี                                                     คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน                        คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร                                      คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา                                        คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ
เมื่อคุณปลูกการทำงานโดยมุ่งผลของงาน             คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย                                             คุณก็จะได้รับการคืนดี 
ดังนั้น..ตรองดูซักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร...คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้

ที่มา : ขออภัยที่ไม่ได้อ้างอิงถึงแหล่งที่มา เนื่องจากข้อความต้นฉบับที่มีอยู่ไม่ได้กล่าวถึงไว้ ต้องขออภัยผู้ประพันธ์ไว้ ณ ที่นี้

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กาลามสูตร หรือ เกสปุตตะสูตร ?

        ปัจจุบันมีการประชาสัมพันธ์โดยใช้กลยุทธ์ในทุกๆด้านและทุกๆเครื่องมือในการสื่อสาร เพื่อโน้มน้าวและชักนำให้เกิดการคล้อยตามและยอมรับในความคิดเห็น วิธีการ และการตัดสินใจของตนหรือของกลุ่มของตน เราจึงได้ยินคำว่า กาลามสูตร และ เกสปุตตะสูตร เพิ่มมากขึ้น โดยผู้พูดที่คิดว่าตนเองเป็นผู้รู้ทั้งหลายต่างกล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแก่ชาวนิคมเกสปุตตะ แคว้นกาลมะ ห้ามมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง และคิดว่าผู้ที่อยู่ในความไม่หลงงมงายควรปฏิบัติตาม กล่าวคือ
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินว่าอย่างนี้
อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้เชื่อถือโดยเดาเอาเอง
อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตน
อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรเชื่อได้
อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้ เป็นครูของเรา 

ทางสายกลาง

เรามักได้ยินคนพูดอยู่เสมอๆ ว่าทำอะไร ให้ทำแต่เพียงพอดีอย่าให้มันสุดโด่งหรือสุดโต่งเกินไปนัก หรือบางคนอาจพูดว่าให้เดินทางสายกลาง ไม่ไปทางซ้ายหรือทางขวามากเกินไป คำพูดต่างๆเหล่านี้บางคนก็พูดต่อๆตามกันมา บางคนก็คิดว่าสิ่งที่ตนพูดออกไปนั้นเหมาะสมถูกต้องแล้ว เพราะทำอะไรในลักษณะกลางๆน่าจะไม่ทำให้เสียหายมาก (และถ้าได้ผลลัพธ์ที่ดีก็อาจจะได้ไม่มากเช่นเดียวกัน) บางคนก็อาจจะอ้างอิงไปถึงการขึงสายพิณว่าถ้าขึงตึงเกินไปก็จะขาด ถ้าขึงหย่อนไปก็ไม่สามารถเล่นพิณนั้นได้ อันเป็นนิมิตที่เกิดแก่พระพุทธองค์ก่อนที่จะออกจากการบำเพ็ญทุกรกิริยาและตรัสรู้ในลำดับต่อมา
                สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการคือ
๑.    ทุกข์       ได้แก่ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจต่างๆ
๒.    สมุทัย     คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
๓.    นิโรธ     คือการดับทุกข์ให้หมดสิ้นไป
๔.    มรรค      คือข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงการดับทุกข์ มีอยู่ด้วยกัน ๘ ประการหรือเรามักพูดกันติดปากว่า มรรคมีองค์ ๘